
- รายละเอียด
- หมวด: การเงิน-การลงทุน
- Talktoday ทอล์กทูเดย์ By
- อ่าน : 367 คน
SCB WEALTH เปิดสินทรัพย์การลงทุน แม้ปีนี้เต็มไปด้วยความท้
ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ WEALTH ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่มี
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความพร้
ในปีนี้ SCB WEALTH ยังคว้ารางวัลได้สูงถึง 11 รางวัลระดับโลก เป็นรางวัลที่โดดเด่นในการเป็น Digital Banking ที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม และแพลตฟอร์มอัจฉริยะ มีการนำData มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน และดูแลพอร์ตลูกค้าที่ออกแบบเป็
SCB Wealth มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFASCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2566 นี้เป็นปีแห่งความผันผวน เริ่มต้นปีด้วยความกังวลเศรษฐกิ
ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่เศรษฐกิ
ด้วยเหตุผลนี้ เราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน แบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สู
พอร์ตลงทุนที่แนะนำเพื่อคาดหวั
ด้านการนำเทคโนโลยีมาพั
ไม่เพียงเท่านี้เรายังมี
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2024 ยังคงมีความผันผวนแต่มีโอกาสสร้
ปัจจัยที่คาดว่าจะสร้างความผั
ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย มาจากปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิ
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่
นอกจากนี้ INVX มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่
นายอิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล กรรมการและหุ้นส่วนอาวุโส บริษัท บอสตันคอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) กล่าวว่า จากการศึกษาของ BCG พบว่าตลาด Wealth Management ของประเทศไทยทั้ง onshore และ offshore จะมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 4.5% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เราพบว่ามี 4 เทรนด์หลักในธุรกิจ Wealth Management ที่พบในภูมิภาคเอเชียรวมถึ
ทั้งนี้ BCG ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้
1. ทำให้ลูกค้าและผู้ใช้สามารถใช้
2. สร้างความโปร่งใส (transparent) เช่น wealth dashboard, family wealth view, benchmarks
3. ทำให้การบริหารความมั่งคั่
4. ตอบสนองความต้องการของลูกค้
5. ทำให้การใช้งาน ง่ายและสนุก (delightful) เช่น dynamic scenario planning, และเครื่องมือต่างๆที่ใช้
ดร. สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทรนด์กฎหมายในปีหน้า ยังคงต้องติดตามกฎหมายต่างๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่
ส่วนกฎหมายภาษีการลงทุนต่
ในปีนี้ลูกค้ากลุ่มHNWให้

- รายละเอียด
- หมวด: การเงิน-การลงทุน
- Talktoday ทอล์กทูเดย์ By
- อ่าน : 322 คน
SCB CIO มองตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใส เศรษฐกิจ 10 ปีต่อจากนี้มีโอกาสจะเติบโตในระดับ 6-7% ต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก คาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งมาสนับสนุนการบริโภค แรงกดดันFund Flow ไหลออกเริ่มลดลง หลังจากตลาดมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปีหน้า นักวิเคราะห์มอง การเติบโตของดัชนี Nifty 50 ในมุมของ Forward EPS ในปี 2567-2568 อยู่ในระดับ 14-18% และ Forward ROEอยู่ในระดับ 14-16% SCB CIO จึงแนะนำทยอยเข้าสะสมหุ้นอินเดียเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใส เนื่องจาก ขนาดเศรษฐกิจอินเดียในช่วง 10 ปีจากนี้ จะเติบโต 6-7% ต่อปี ทำให้เศรษฐกิจอินเดียมีโอกาสแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนี ภายในปี 2573 ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย มาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งจากแรงหนุนภาครัฐ ภาคเอกชน และการบริโภคของประชากร
“รัฐบาลอินเดียได้มีการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา จึงนำไปสู่วงจรการลงทุนรอบใหม่ ทั้งจากฝั่งรัฐบาลและภาคเอกชน ขณะที่ การบริโภคได้แรงหนุนจากการขยายตัวของประชากรทั้งด้าน จำนวนประชากรวัยทำงานที่ยังอยู่ระยะขยายตัว รายได้ต่อหัวที่เพิ่มสูงขึ้น และการขยายตัวของเมือง (Urbanization) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการฟื้นตัวที่เด่นชัดของวัฏจักรความต้องการที่อยู่อาศัย ความแข็งแกร่งของงบดุลภาคธนาคารและภาคครัวเรือน เป็นฐานสำคัญสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อ อีกทั้งมีปัจจัยจากการเมืองอินเดีย ที่คาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งมาสนับสนุนการบริโภคด้วย” ดร.กำพล กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดีย มีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ประมาณ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. มีขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลก กำลังได้แรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนลดหย่อนภาษีจากรัฐบาล โดยดัชนีหลักที่นักลงทุนติดตาม ได้แก่ Nifty 50 และ Sensex ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่สุด คือ กลุ่มการเงิน ตามด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน ขณะที่ ปัจจุบัน Fund Flow ของนักลงทุนภายในประเทศเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น หลังรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคครัวเรือนเก็บออมเพื่อการเกษียณผ่านกองทุน Systematic Investment Plans หรือ (SIPs) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ และมีระบบช่วยในการลงทุนเป็นประจำรายเดือน
จากความน่าสนใจของตลาดหุ้นอินเดีย ทำให้ เรามีมุมมอง Slightly Positive หรือแนะนำให้ทยอยลงทุนได้สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และผลบวกจาก Election Rally เราเชื่อว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และ การบริโภคในช่วงก่อนการเลือกตั้งรัฐบาลรอบเดือน เม.ย - พ.ค. 2567 ขณะที่ แรงกดดันของ Fund Flow ไหลออกเริ่มลดลง หลังจากตลาดมีมุมมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปีหน้า นอกจากนี้ การที่พันธบัตรประเทศอินเดียจะถูกรวมเข้าคำนวณในดัชนี JP Morgan Local Government Bond index (GBI-EM GD) ในช่วงระยะเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไป จะช่วยเพิ่มเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนอินเดีย และ ลดความเสี่ยงของ fund flow ไหลออกในอนาคต
ในส่วนของตลาดหุ้น ดัชนี MSCI ก็ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นอินเดียใน ดัชนี MSCI Emerging Market จาก 15.9% สู่ระดับ 16.3% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจการลงทุนในหุ้นอินเดียต่อนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนและETF ที่มีกลยุทธ์แบบ Passive Investment และคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มเติมอีก 1.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากการปรับปรุงน้ำหนัก ขณะที่ เงินเฟ้อชะลอความร้อนแรงลง โดยอัตราเงินเฟ้อเคยอยู่สูงสุดในเดือน ก.ค. 2566 ที่ 7.4%YoY และได้ลดลงสู่ระดับ 4.8%YoY ในเดือน ต.ค. 2566 และ มีแนวโน้มลดลงต่อ ทำให้มีโอกาสที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 25 bps ในปี 2567
ตลาดหุ้นอินเดียถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก เหมาะกับการลงทุนในช่วงที่ความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่สูงขึ้น ตลาดหุ้นอินเดียยังมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโครงสร้างประชากรที่ดี มีความพร้อมทางด้านกฎระเบียบและนโยบายรัฐที่สนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน หนี้ครัวเรือน หนี้ของธุรกิจเอกชน และหนี้เสียของธนาคารที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งการฟื้นตัวของเครื่องจักรเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโตในช่วงถัดไป
นอกจากนี้ Valuation ของดัชนี Nifty 50 อยู่ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี บนมาตรวัดทั้งในเชิงของ 12-Month forward price-to-earnings และ 12-Month forward price-to-book จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ โดยเฉลี่ย มองว่า Forward EPS หรือ กำไรต่อหุ้นในอนาคต ปี 2567-2568 อยู่ในระดับ 14-18% (ในขณะที่ กำไรงวด 9 เดือน ปี 2566 เติบโตกว่า 12.5% YOY) Forward ROE หรือผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นในอนาคต อยู่ในระดับ 14-16% ซึ่งเรามองว่า ROE มีโอกาสขยายตัวได้อีก ตามการฟื้นตัวจากภาวะการปรับโครงสร้างของหนี้ในระบบ (Deleveraging) ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา และเครื่องจักรเศรษฐกิจ (ภาคอสังหาฯ ภาคการเงินและการธนาคาร และ ภาคการผลิต) ที่หยุดปรับปรุงระบบไปนาน กลับมาดำเนินงานได้อีกครั้งด้วยฐานใหม่ที่มั่นคง เรามองว่ามีโอกาสเห็นการขยายตัวของ ROE ที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ย 20 ปีที่ 17% (ปีงบประมาณ 2566 อยู่ที่ 15%) และอาจกลับไปอยู่ใน Zone ขยายตัวที่ 18-26% เช่นครั้งในอดีต ทั้งนี้ นับแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) ดัชนี Nifty 50 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.5% และ Sensex ปรับเพิ่มขึ้น 8.6%
ขณะที่ ความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียที่นักลงทุนต้องพิจารณา ได้แก่ ความผันผวนของค่าเงินอินเดียรูปี ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2547 จนถึงปัจจุบัน ลดลงไปกว่า 45% มีผลต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีความพยายามจำกัดความเสี่ยงจากค่าเงินด้วยการเพิ่มทุนสำรอง รวมทั้งหันไปนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยซื้อขายด้วยสกุลเงินอินเดียรูปี แทนดอลลาร์ สรอ. ส่วนประเด็นความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เรามองว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะถัดไป

- รายละเอียด
- หมวด: การเงิน-การลงทุน
- admin By
- อ่าน : 184 คน

- รายละเอียด
- หมวด: การเงิน-การลงทุน
- admin By
- อ่าน : 257 คน

- รายละเอียด
- หมวด: การเงิน-การลงทุน
- admin By
- อ่าน : 209 คน